ผ่านมา 2 วันแล้วกับผลการแข่งขันยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกรอบตัดเชือกระหว่างทีมผีแดงแห่งอังกฤษกับปีศาจแดงดำแห่งอิตาลี อย่างที่เราทราบกันดีว่าผลเป็นเช่นไร คงไม่ต้องย้ำให้แฟนผีแดงอย่างผมเจ็บช้ำน้ำใจกันอีกกระมัง
ผมเชื่อเหลือเกินว่าแฟนผีทุกท่านคงถูกกระหนำซ้ำเติมมาไม่น้อย ทั้งจากแฟนปีศาจแดงดำเองและจากคู่รักคู่แค้นอีกหลายทีมในพรีเมียร์ลีก ผมเองก็คงไม่ต่างจากแฟนผีท่านอื่นเท่าไหร่
หวนนึกถึงวันก่อนแข่งขันที่ยังไม่มีใครรู้ผลแพ้ชนะ สาวกแต่ละทีมต่างเกทับทีมคู่แข่งหรือทีมที่ตนไม่ชอบกันเต็มที่ บ้างก็มั่นใจว่าต้องชนะเต็มร้อย บ้างก็ไม่ค่อยมั่นใจในทีมที่ตนเชียร์นัก แต่ใครเล่าจะยอมให้อีกฝ่ายข่มทีมของเราได้โดยไม่ตอบโต้
บอกตามตรงว่า ผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกว่าผีแดงจะผ่านเข้าสู่รอบชิงฯ ได้ง่ายๆ เมื่อต้องเจอยอดทีมจากอิตาลีอย่างเอซีมิลานที่มีนักเตะชั้นยอดมากมาย แต่อย่างน้อยก็ยังใจชื้นอยู่บ้างตรงที่ผลชนะนัดแรกทำให้เราเป็นต่ออยู่พอสมควร
แต่ก็นั่นแหละ บอลลูกกลมๆ ไม่เคยมีอะไรแน่นอน
ทันทีที่พอจะเดาผลการแข่งขันออกทั้งๆ ที่ยังแข่งไม่จบ ผมอดนึกหวั่นไม่ได้เมื่อคิดถึงว่ารุ่งขึ้นจะต้องเจอคำถากถางและเยาะเย้ยจากแฟนทีมอื่นขนาดไหน แต่ที่รู้สึกหวั่นมากที่สุดก็คงเป็นรุ่นน้องที่เกทับกันไว้ในคืนก่อนแข่ง
ในบางขณะ ผมคิดจะหนีหน้ารุ่นน้อง ให้เรื่องมันซาลงก่อนแล้วค่อยไปเจอหน้ามัน อย่างน้อยคำถากถางคงไม่ทำให้รู้สึกย่ำแย่มากเท่าไหร่นัก แต่มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเราไม่ควรหนี
คงจะถูก เพราะถึงแม้เราจะหลบลี้หนีหน้ากันได้ แต่เราไม่อาจหนีความจริงที่มันเกิดขึ้นได้
แพ้ก็คือแพ้ ไม่อาจแปรเป็นอื่นไปได้
และที่สำคัญ คนเรารักกันชอบกันพอสมหวังก็ร่วมสุขสม แต่พอขื่นขมก็จะหลีกลี้หนีหน้า ให้ทีมรักเผชิญความเจ็บช้ำเพียงลำพังได้อย่างไร อย่างนั้นแล้ว เรายังจะบอกคนอื่นได้อีกหรือว่านี่คือทีมรักของชั้น ในเมื่อไร้ซึ่งความจริงใจให้กันอย่างนี้
สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ คือการพร่ำบอกตัวเอง ก่อนที่จะต้องไปเผชิญกับคำเยาะเย้ยต่างๆ นาๆ ว่า
“จงพ่ายแพ้อย่างภาคภูมิเถิด หากท่านได้สู้อย่างเต็มที่แล้ว”