20 Jan 06
ไม่รู้ว่ามีแต่ผมรึเปล่าที่หลับไม่สนิท จะให้หลับลงได้ไงหละครับ ก็ที่นั่งแถวหลังที่พวกเรานั่งกันมามันปรับเอนได้ไม่มาก แถมยังมีกระเป๋ากล้องที่วางไว้ตรงตักอีก เลยทำให้นั่งไปเมื่อยก้นไปตลอดทาง
พอมาถึงผานกเค้าเราก้เห็นแสงไฟสว่างไสวมาจากร้านเจ๊กิมที่เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวตั้งแต่เช้ามืด นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะแวะร้านเจ๊กิมก่อนขึ้นภูฯ เพื่อจัดการธุระส่วนตัวต่างๆ ตั้งแต่ล้างหน้ายันอาบน้ำ แต่ผมว่าคงไม่มีคนอาบน้ำกันหรอกครับ ก้อากาศยามเช้าหนาวซะขนาดนั้นใครจะไปอาบลง
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตากันจนสดชื่นแล้ว ก้ต้องมาเติมพลังกับข้าวแกงร้านเจ๊กิมก่อน เด๋วจะไม่มีแรงขึ้นภูฯ ราคาข้าวแกงที่นี่ผมว่าออกจะแพงไปหน่อย กับข้าว 2 อย่าง 30 บาทแต่ปริมาณนี่แค่ดมก้หมดแล้ว แต่ถึงจะรู้สึกว่าแพงยังไงก็ต้องกินหละครับ ดีกว่าเดินขึ้นภูฯทั้งที่ท้องว่างเป็นไหนๆ
อ้อ! อีกเรื่องที่ลืมไม่ได้ คือเรื่องตั๋วรถขากลับ ส่วนใหญ่เค้าก้จองกันที่ร้านเจ๊กิมนี่แหละครับ แหม…อะไรจะครบครันกันขนาดนั้น จองเสร็จจ่ายตังค์ครบก้ไปขึ้นรถสองแถวที่จอดรอไปที่อุทยานฯกันได้เลย ราคาคนละ 20 บาทเท่านั้น แต่ถ้าอยากเป็นส่วนตั๊วส่วนตัวก้เหมาได้ครับ เค้าคิดคันละ 300 บาท
ถ้ามาถึงอุทยานฯก่อน 7 โมงครึ่ง ก็ต้องรอกันหน่อยนะครับ เพราะทางอุทยานฯอนุญาตให้ขึ้นภูฯได้ตอนนั้น พวกที่แบกเป้ขึ้นไปเองก็เสียแค่ค่าธรรมเนียมกับค่ากางเตนท์ก็ลุยกันได้เลยครับ ส่วนคนที่ขี้เกียจแบกเป้ให้เมื่อย เพราะลำพังน้ำหนักตัวก็ลำบากพออยู่แล้ว ก้ต้องไปลงทะเบียนจ้างลูกหาบตรงจุดที่อุทยานจัดไว้ พอได้บัตรรับของและจ่ายตังค์เรียบร้อยก็ขึ้นได้เลย
แต่มีข้อแนะนำหน่อยนึงสำหรับคนที่จ้างลูกหาบขนของ คุณควรเอาของที่คิดว่าจำเป็นติดตัวขึ้นไปเองด้วยครับ เพราะเมื่อคุณไปถึงจุดกางเตนท์กว่าคุณจะได้รับของก็อาจเป็นช่วงบ่ายหรือถ้าเป็นช่วงนักท่องเที่ยวเยอะอาจจะรอจนถึงตอนค่ำเลยก็ได้
ถึงจะมาถึงอุทยานฯก่อนเวลาขึ้น แต่พวกเรามัวแต่ดูโน่นดูนี่แถวที่ทำการฯกันพักใหญ่ กว่าจะเริ่มเดินขึ้นก็หลังจากได้ยืนตรงเคารพธงชาติกันแล้ว นัยว่าจะอาศัยเพลงชาติปลุกใจให้ฮึกเหิมก่อนขึ้นภูฯว่างั้นเหอะ
เส้นทางในช่วงแรกดูจะวัดใจพวกเราที่แบกเป้มาด้วยอยู่ไม่น้อย เพราะทางชันค่อนข้างมาก กว่าจะถึงซำแฮกซึ่งจุดพักจุดแรก ก็เล่นเอาเราหอบแฮกสมชื่อซำเลยทีเดียว ส่วนขาแข้งนั้นไม่ต้องพูดถึง มันเริ่มเมื่อยก่อนที่จะหอบซะอีก ขามันรู้สึกเบาๆพิกลเหมือนไม่มีแรงยังไงยังงั้น คงเป็นเพราะพวกเราเร่งฝีเท้าตามคนไม่มีของมากไปหน่อยก็เลยออกอาการกันแบบนี้
หลังจากเริ่มรู้ตัว เราจึงลดความเร็วลง เพราะถ้ายังเร่งต่อไปอีก คงจะทำให้กล้ามเนื้อต้นขากับน่องอักเสบเอาได้ เดี๋ยวจะเดินเที่ยวบนภูไม่สนุกซะเปล่าๆ แต่ถึงจะลดสปีดลงแล้วก็ยังมีปัญหาจนได้ พอมาได้ครึ่งทางขึ้นหลังแป พวกเราคนนึงก็โดนตะคริวเล่นงาน ยังดีที่เตรียมเคาเตอร์เพนมาด้วยและใจยังสู้เกินร้อย ก็เลยเดินๆหยุดๆกันเป็นพักๆไปเรื่อยๆ ระหว่างทางขึ้นจากที่ทำการฯจนถึงหลังแห เราจะผ่านซำต่างๆ ประมาณ 6-7 ซำ แต่ที่มีร้านขายของอยู่มีแค่ 3-4 ซำเท่านั้น ใครที่เคยได้ยินว่ามีของกินทุกซำแล้วคิดจะไม่เตรียมขนมและน้ำติดตัวไป ผมว่าคิดใหม่ดีกว่าครับ เพราะเวลาหิวขึ้นมาจะได้มีของกินรองท้องและช่วยให้มีแรงเดินต่ออีกด้วย
ด้วยความงามของวิวและเข้าใจผิดว่าซำกกโดนคือจุดพักสุดท้ายก่อนจะขึ้นถึงหลังแป บวกกับถึงเวลาเที่ยงกว่าแล้ว พวกเราเลยพักกินข้าวเที่ยงกันที่นี่ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่พักกันก่อนเพราะสองซำที่เหลือเป็นช่วงที่ชันมากและเดินลำบากไม่ต่างจากช่วงแรกเลย ยิ่งพอได้เดินขึ้นจริงถึงได้รู้ว่ามันลำบากกว่าช่วงก่อนถึงซำแฮกซะอีก เพราะตามทางขึ้นจะมีหินก้อนเล็กก้อนใหญ่เต็มไปหมด บางช่วงเรียกได้ว่าต้องใช้เกียร์โฟร์วีลคลานสี่ขากันเลยทีเดียว กว่าจะขึ้นถึงหลังแปเราใช้เวลากับสองซำสุดท้ายที่มีระยะทาง 2 กิโลไปเกือบชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว
พอขึ้นมาถึงหลังแป พวกเรากลับรู้สึกอย่างกับว่ามาถึงที่พักแล้วยังไงอย่างงั้น เพราะมันรู้สึกโล่งใจมากทีเดียว แม้ว่ายังเหลืออีก 4 กิโลที่ต้องเดินแต่ก็เป็นทางราบที่เดินง่ายไม่ต้องตะกายกันอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว หลังจากซัดแป๊ปซี่ไปคนละกระป๋องและพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว ก็เริ่มลุยกันต่อ ใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าก็มาถึงที่ทำการฯ ถึงจะใช้เวลาเท่ากันแต่ระยะทางต่างกันจากตอนขึ้นภูเห็นๆ ทำไงได้พวกเรามันสิงห์ทางเรียบนี่นา
มาถึงปุ๊บก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงกันหละครับ หาที่กางเตนท์กันทันที แบกของมาเองก็ดีอย่างนี้แหละน้า ตอนแรกก็ยังกลัวๆอยู่ว่าจะโดนคนที่ขึ้นมาก่อนจะจองทำเลดีๆไว้แล้ว แต่คนที่มาถึงก่อนก็ต้องมานั่งรอของกันอยู่แถวที่ทำการฯซะเป็นส่วนใหญ่ อีกส่วนก็ไปนั่งรอตรงร้านอาหารหาอะไรกินไปพลางๆ เราเลยยังได้ทำเลดีที่สามารถกางเตนท์และผูกเปลได้
พอเราจัดการที่พักเรียบร้อยก็นอนพักเอาแรงกันซักตื่นก่อนจะออกไปเดินเที่ยวตามโปรแกรมที่วางไว้
ตื่นกันมาตอนบ่ายสี่ เราก็ออกไปหาข้าวกินให้อิ่มท้องและก็สอบถามข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวจากพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ด้วย เย็นนี้เราก็เลือกที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูกเหมือนคนอื่นๆ ระหว่างทางเราก็แวะมาไหว้องค์พระพุทธเมตตาซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่คนที่นี่ให้ความนับถือกันมากเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยกันและบอกกล่าวให้ท่านช่วยคุ้มครองเราให้ปลอดภัยระหว่างที่พวกเราอยู่ที่นี่ ก่อนที่เดินต่อไปยังผาหมากดูกที่อยู่ห่างไปอีกกิโลกว่า
ในการดูพระอาทิตย์ตกดินนอกจากจะเตรียมกล้องไปถ่ายรูปแล้ว ควรจะติดเอาไฟฉายกับเสื้อกันหนาว ไปด้วย เพราะการเดินหนาวในที่มืดมันไม่สนุกแน่ๆ และการจัดโปรแกรมในแต่ละวันก็ควรดูเวลาและกำลังของตัวเองและสมาชิกในกลุ่มด้วย ไม่งั้นจะหมดสนุกเอา หรือถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไงดีก็ลองถามเอาจากพ่อค้าแม่ค้าหรือว่าจากเจ้าหน้าที่ก็ได้ เพราะเค้าจะรู้ดีว่าช่วงไหนที่ไหนน่าเที่ยว
หลังจากชมความงามและถ่ายรูปพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนสิ้นแสงสุดท้ายไปแล้ว พวกเราจึงกลับมาทำอาหารกินกันแบบง่ายๆ ด้วยข้าวสวยกับปลากระป๋องและน้ำพริกกันอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะอาบน้ำและแยกย้ายกันไปนอนตอนสี่ทุ่มเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้